ระบบรถไฟฟ้า ทางออกแก้ปัญหาจราจรและสิ่งแวดล้อมในเมือง
ระบบรถไฟฟ้า ในยุคปัจจุบันที่โลกประสบปัญหาวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมรุนแรงมากขึ้น ประเด็นเรื่องการขนส่งและการจราจรกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษต่าง ๆ การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ สะอาด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยระบบรถยนต์ไฟฟ้าถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สุด ปัญหามลพิษจากการขนส่งและการจราจรนั้นได้กลายเป็นวาระสำคัญระดับโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โดยองค์การสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษอันเป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อนและมลพิษทางอากาศ ในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่น การติดตั้งระบบรถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางออกที่สำคัญในการบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัด ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียเวลาและพลังงานโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังก่อให้เกิดมลพิษจากการปล่อยควันพิษจากท่อไอเสียของยานพาหนะด้วย การมีระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย เชื่อถือได้ และครอบคลุมพื้นที่การเดินทางสำคัญๆ จะช่วยจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่การลดปัญหาจราจรและมลพิษได้อย่างเป็นรูปธรรม
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า มลพิษทางอากาศส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรประมาณ 7 ล้านรายต่อปี โดยสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงจากพาหนะขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ รวมถึงการผลิตพลังงานจากโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ นอกจากนั้น มลพิษจากการจราจรยังเป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง ด้วยเหตุนี้ การลงทุนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศต้องให้ความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบรถไฟฟ้าซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่สะอาดและมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งสามารถผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด อีกทั้งยังสามารถขนส่งผู้โดยสารได้จำนวนมากในคราวเดียวกัน ช่วยลดปริมาณการจราจรและมลพิษจากรถยนต์ส่วนตัวลงได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนในระบบรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นการสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในหลายด้าน ทั้งการจ้างงานในภาคก่อสร้างระบบรางและสถานี การผลิตอุปกรณ์และส่วนประกอบต่าง ๆ สำหรับรถไฟฟ้า และการจ้างงานในภาคบริการและการดำเนินงานระบบขนส่งในระยะยาว การพัฒนาพื้นที่เมืองให้มีความเจริญเติบโตและมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้นย่อมจะดึงดูดแรงงานและผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานและอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมากขึ้น สร้างวงจรการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
ความสำคัญกับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้า
หลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น เยอรมนี สิงคโปร์ ฮ่องกง ฯลฯ ที่สามารถพัฒนาระบบให้มีความทันสมัย ได้มาตรฐาน ครอบคลุมพื้นที่หลักของเมือง และสามารถแก้ปัญหาการจราจรและมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนกลายเป็นต้นแบบให้แก่ประเทศอื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาระบบขนส่งมวลชน สำหรับประเทศไทยนั้น แม้จะมีการพัฒนาระบบรถยนต์ไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังมีข้อจำกัดหลายประการ ทั้งในเรื่องของความครอบคลุมของเส้นทาง ความสะดวกในการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งประเภทอื่น และการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปรับปรุงและขยายระบบให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสามารถตอบโจทย์การเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย มีมาตรฐานสากล ลดปัญหาการจราจรและมลพิษในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้อย่างแท้จริง แม้ว่าการพัฒนาระบบรถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องของงบประมาณและระยะเวลาดำเนินการ แต่ประโยชน์ที่ได้รับคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างแน่นอน ด้วยการวางแผนระยะยาวที่ดี ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และความตระหนักรู้ของประชาชนในการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ระบบจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเมืองให้เป็น Smart City ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคต
การแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งและการจราจร
ระบบรถไฟฟ้า โดยสรุปแล้ว การแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งและการจราจร รวมถึงปัญหาด้านอื่น ๆ ที่มาพร้อมกัน เช่น สุขภาพของประชาชน เศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง จำเป็นต้องอาศัยการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้เกิดระบบรถไฟฟ้าที่ทันสมัย ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำพาให้เมืองต่างๆ สามารถพัฒนาไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนโดยไม่สร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสภาพแวดล้อมโดยรวม ความได้เปรียบของระบบรถยนต์ไฟฟ้าเหนือระบบขนส่งประเภทอื่น ๆ คือ การใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งสามารถผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้ ทำให้ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศโดยตรง นอกจากนี้ ระบบยังมีประสิทธิภาพการขนส่งที่สูงกว่า สามารถรองรับผู้โดยสารได้จำนวนมากในเวลาเดียวกัน ช่วยลดปริมาณการจราจรบนท้องถนนและลดมลภาวะจากเสียงรบกวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ การมีระบบขนส่งที่สะดวกและทันสมัยจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี การไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรติดขัด ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน เมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีจะเป็นเมืองที่น่าอยู่และมีความน่าดึงดูดใจสำหรับทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยว
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบรถไฟฟ้า ขนาดใหญ่เช่นระบบรถไฟฟ้านั้นมีข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลาในการก่อสร้าง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องวางแผนระยะยาวและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนในการลงทุนเพื่อให้ระบบสามารถขยายเส้นทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้น การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการวางผังเมืองและการจัดสรรที่อยู่อาศัยใกล้สถานีขนส่งสาธารณะ ก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ระบบรถยนต์ไฟฟ้าประสบความสำเร็จและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างยั่งยืน การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยระบบรถยนต์ไฟฟ้านั้น นอกจากจะเป็นการแก้ปัญหาด้านการจราจรและมลพิษแล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน การมีระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพจะดึงดูดนักลงทุน ธุรกิจ และประชากรให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณใกล้เคียงกับสถานีขนส่งสาธารณะ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาพื้นที่ชุมชนและย่านธุรกิจรอบ ๆ สถานีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยกระดับคุณภาพชีวิต ด้วยการพัฒนา
นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาด้านการจราจรและมลพิษแล้ว การพัฒนาระบบรถยนต์ไฟฟ้ายังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่างๆ เช่น การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ความสะดวกสบายและปลอดภัยในการเดินทาง รวมถึงการลดความเครียดจากการติดอยู่บนถนน ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของประชาชน การเดินทางด้วย ระบบรถไฟฟ้า ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้โดยสารมีเวลาพักผ่อนหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ระหว่างการเดินทางได้มากขึ้น ลดความเครียดจากการขับรถเองในสภาพการจราจรที่หนาแน่น นอกจากนี้ ระบบรถยังมีมาตรฐานความปลอดภัยสูง มีการควบคุมและตรวจสอบอย่างเข้มงวด ช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสารในระหว่างการเดินทาง
คุณภาพชีวิตของประชาชนและสุขภาวะของชุมชน
ในระยะยาว หากเมืองใหญ่สามารถพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยระบบรถไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายเส้นทางให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ ๆ ของเมือง รวมถึงบูรณาการเชื่อมโยงกับระบบขนส่งประเภทอื่น ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมจะเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนมีวิถีชีวิตแบบไร้รถยนต์ (Car-Free Lifestyle) มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการลดมลภาวะและผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมลงอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันก็ยังตอบโจทย์การพัฒนาเมืองแบบยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสุขภาวะของชุมชนได้อย่างสมบูรณ์แบบ สรุปได้ว่า ระบบรถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางออกอนาคตในการแก้ปัญหาการจราจรและมลพิษในพื้นที่เมืองที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เมืองใหญ่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนโดยไม่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสภาพแวดล้อม การลงทุนพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยระบบรถยนต์ไฟฟ้านั้นถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ ด้วยการมีระบบขนส่งที่สะดวก รวดเร็ว ถูกต้องตามเวลา ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะสร้างความพึงพอใจและเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น ลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนตัว ซึ่งจะนำไปสู่การลดปริมาณการจราจรและมลภาวะต่างๆ ลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% หรือ รถยนต์ EV
รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือ EV (Electric Vehicle) เป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ในการขับขี่ ส่วนประกอบหลักของรถยนต์ไฟฟ้านี้คือแบตเตอรี่และตัวแปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มต้นด้วยแบตเตอรี่ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง จากนั้นตัวแปลงไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่และแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ ซึ่งจะส่งไปที่มอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ ให้การขับขี่ที่ราบรื่นและเงียบโดยใช้เพียงพลังงานไฟฟ้าเท่านั้น ดังนั้นเราจึงพูดได้ว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ 100% ที่สามารถประหยัดเงินได้มากขึ้น ทั้งค่าบำรุงรักษาและค่าพลังงานไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่าพลังงานเชื้อเพลิง นอกจากนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ยังสั่งการการขับขี่ได้ทันที คุณจึงสามารถเร่งความเร็วได้ตามต้องการตามสไตล์การขับขี่ของคุณ ที่สำคัญรถคันนี้ไม่ปล่อยก๊าซไอเสียจึงไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อโลกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม น้ำมันเครื่องเบื้องต้น ใช้สำหรับการผลิตไฟฟ้าเท่านั้น พลังงานไฟฟ้าจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนล้อ สิ่งนี้แตกต่างจากปกติ เครื่องยนต์ถูกใช้เพื่อส่งกำลังไปยังระบบขับเคลื่อนซึ่งหมุนล้อ เทคโนโลยี E-Power ประกอบด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เชื้อเพลิง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า แบตเตอรี่ อินเวอร์เตอร์ และมอเตอร์ไฟฟ้า (Motor) มันทำงานด้วยกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น กระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่กำลังสูง ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมีหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้าที่เก็บไว้อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมไฟฟ้าที่ใช้ โรงไฟฟ้า e-POWER จะให้แรงบิดและความเร่งได้ในทันที แรงบิดที่รวดเร็วและราบรื่น
ส่วนประกอบของระบบ e-Power
ส่วนประกอบหลักของระบบ e-Power ได้แก่ เครื่องยนต์ เครื่องกำเนิดไฟฟ้า แบตเตอรี่ อินเวอร์เตอร์ และมอเตอร์ หลักการทำงานของระบบ e-Power ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.2 ลิตร เป็นตัวกำเนิดพลังงาน เนื่องจากการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ เมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงาน กำลังจะถูกส่งไปที่มู่เล่โดยใช้เกียร์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อแปลงพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าที่ได้รับจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้านี้จะถูกส่งไปยังอินเวอร์เตอร์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงาน อินเวอร์เตอร์แปลงกระแสจาก AC (กระแสสลับ) เป็น DC (กระแสตรง) โดยใช้ชุดควบคุมที่เรียกว่า VCM (โมดูลควบคุมยานพาหนะ) ซึ่งจะคำนวณผลลัพธ์โดยรวม สั่งจ่ายไฟตามการใช้งานในขณะนั้น พลังงานไฟฟ้าจะถูกส่งไปยังมอเตอร์ซึ่งส่งกำลังให้กับล้อ เฟืองท้ายอัตราทดเดี่ยว ไม่มีชุดเกียร์ มอเตอร์นี้มีกำลัง 129 แรงม้า และแรงบิด 260 นิวตันเมตร พลังงานที่เหลืออยู่ในเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะถูกส่งกลับไปยังแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน รุ่น 80 เซลล์ 4 โมดูลใช้พลังงาน 1.57 kWh (กิโลวัตต์ชั่วโมง) ซึ่งส่งพลังงานต่ำมาก มีแรงเคลื่อนไฟฟ้า 292 โวลต์
ระบบรถไฟฟ้า มีกี่ประเภท ??
เรากำลังก้าวไปไกลกว่ารถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันเบนซินเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับยุคเปลี่ยนผ่านของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ยานพาหนะไฟฟ้าแบ่งออกเป็นหลายประเภท เนื่องจากเรากำลังอยู่ในยุคที่ผู้ผลิตรถยนต์ค่อยๆ ปรับกำลังการผลิตในโรงงานของตน ผู้ผลิตรถยนต์เองยังไม่สามารถรื้อถอนโรงงานที่สร้างขึ้นเมื่อ 100 กว่าปีก่อนได้ และกำลังลงทุนจำนวนมากในโรงงานเหล่านั้น รถยนต์ในยุคนี้กำลังเปลี่ยนแปลง โดยเร็วๆ นี้บริษัทจะตั้งโรงงานแห่งใหม่ที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 100% ดังนั้นจึงมีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ 4 ประเภท มารู้จักกันในบทความนี้เลย แม้ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าจะค่อนข้างสูงในช่วงแรก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าระยะยาวแล้ว หลายๆ คนกลับเลือกที่จะลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 4 ประเภท การจำแนกประเภทของยานพาหนะไฟฟ้าแบ่งออกเป็นดังต่อไปนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้พลังงานไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่
- รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle, HEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle, BEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle, PHEV)
- รถยนต์ไฟฟ้าเซลเชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle, FCEV)
รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด HYBRID ELECTRIC VEHICLE (HEV)
เทคโนโลยีไฮบริด เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีด้านพลังงานที่เข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมายาวนานที่สุด การทำงานของรถยนต์ประเภทนี้เป็นการผสมผสานระหว่างเชื้อเพลิงและไฟฟ้าหรือรุ่นไฮบริด เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นหลักคือเครื่องยนต์สันดาปภายใน ขับเคลื่อนร่วมกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบยังเลือกโดยอัตโนมัติว่าจะทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทในหลายประเทศ และมีคุณประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คนและโลกมากที่สุด มันเป็นยานพาหนะที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีนี้จึงได้กลายเป็นหนึ่งในโซลูชั่นที่หลายประเทศเลือก เพื่อขับเคลื่อนเราไปสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีที่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษยชาติและโลกได้อย่างยั่งยืน
รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle, PHEV)
PHEV ย่อมาจาก Plug-in Hybrid Electric Vehicle ซึ่งหมายถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินที่ใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทำงานบนเครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือยานพาหนะที่ใช้พลังงานได้ทั้งสองประเภท แหล่งพลังงานสำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าของ PHEV สามารถรับได้จากการชาร์จจากสถานีจ่ายไฟฟ้าตามจุดบริการต่างๆ หรือโดยการชาร์จโดยตรงจากไฟฟ้าภายในบ้าน รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มีความคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) ยกเว้นว่าสามารถชาร์จจากภายนอกได้ คุณใช้เครื่องชาร์จ EV หรือใช้สายชาร์จที่มาพร้อมกับบ้านของคุณหรือไม่? รถคันนี้มีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่ช่วยให้สตาร์ทได้เร็วกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน FCEV เป็นตัวย่อของ Fuel Cell Vehicle ซึ่งเป็นยานพาหนะไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง FCEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและใช้ไฟฟ้าที่สร้างจากเซลล์เชื้อเพลิงที่ใช้เชื้อเพลิงภายนอก ไม่มีการปล่อยมลพิษหรือ CO2 จากรถยนต์โดยตรง มีเพียงน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้ง 4 ประเภทจะมีความสามารถที่แตกต่างกัน แต่รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภทก็มีเป้าหมายในการลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน
รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า ต้องเสียบปลั๊กจึงจะชาร์จจากแหล่งพลังงานภายนอกได้ อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดก๊าซไอเสียเนื่องจากไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องเผาเชื้อเพลิง รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบัน โดยจะมาแทนที่รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษหลากหลายชนิดที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้น้ำมันดิบยังเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่จะค่อยๆหมดลง รถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่หรือแหล่งพลังงานอื่นๆ โดยไม่ต้องเผาผลาญเชื้อเพลิง ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ไม่ปล่อยฝุ่นหรือเสียงรบกวน และเป็นมิตรต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ