รถ Sedan ซีดานคืออะไร? และแบบไหนเรียกว่า Sedan กันแน่ ?
รถ Sedan ซีดานคืออะไร? รถซีดาน หรือที่เรียกกันว่ารถสี่ประตู มีลักษณะเด่น คือ เครื่องยนต์จะอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวรถ บริเวณหลังรถถูกออกแบบไว้สำหรับเก็บของ และส่วนของหลังคาจะยึดติดกัน ไม่สามารถเปิดออกได้ ในปัจจุบันการออกแบบของรถซีดานได้ถูกพัฒนาจากที่มีเฉพาะสี่ประตู เพิ่มเป็นรถสองประตู โดยมีชื่อเรียกว่ารถคูเป้ มีรูปทรงที่ทันสมัย โฉบเฉี่ยว และสปอร์ตขึ้นอีกระดับ “รถเก๋ง 4 ประตู” แตกต่างจากรถเก๋ง 5 ประตูตรงที่ฝากระโปรงท้ายรถจะแยกชิ้นส่วนกับกระจกด้านหลัง จึงไม่สามารถเปิดประตูท้ายขึ้นได้ทั้งบานเหมือนกับรถเก๋ง 5 ประตูนั่นเอง รถซีดานถือเป็นรถยนต์รูปแบบแรก ๆ ในการผลิตรถยนต์ และยังได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ เนื่องจากมีความเป็นส่วนตัวสูง สามารถขับขี่ได้คล่องตัวทั้งในเมืองและนอกเมือง และยังรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 4-5 ที่นั่ง ซึ่งเหมาะกับครอบครัวขนาดเล็กและผู้ที่ต้องการใช้รถในชีวิตประจำวัน รถยนต์ ที่หลายคนคุ้นเคยคือรถเก๋ง หรือที่เรียกว่าซาลูน (มักใช้ในยุโรป) มีข้อดีคือมีขนาดกะทัดรัดและมีประตู 4 บาน และเป็นรุ่นมาตรฐานในการผลิตรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีโซนแยกสำหรับห้องเก็บสัมภาระและห้องโดยสารอีกด้วย รถถังมีหลายขนาด ที่สำคัญการผลิตรถยนต์ประเภทนี้มีทั้งรถยนต์ธรรมดาและรถยนต์หรูหรา ในการผลิตรถยนต์ เราไม่เพียงแต่กำหนดส่วนและขนาดของรถยนต์ เช่น รถยนต์คอมแพ็ค รถยนต์ขนาดกลาง และรถยนต์ขนาดเต็ม แต่ยังกำหนดประเภทด้วย ซึ่งหมายความว่ารวมสไตล์ของรถด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกโดยใช้เกณฑ์เดียวกัน
ประเภท รถ Sedan (ซีดาน)
สำหรับรถยนต์ประเภท Sedan (ซีดาน) หรือที่บางคนก็เรียกว่ารถยนต์ประเภท Saloon (ซาลูน) คือ กลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล หรือรถเก๋งที่มี 4 ประตู ถือว่าเป็นรูปแบบพื้นฐานรูปแบบแรกๆ ของการผลิตรถยนต์ ที่มีลักษณะโดยหลักการว่ารถยนต์ประเภท Sedan จะมีการวางเครื่องยนต์อยู่ด้านหน้าของตัวรถ หลังรถมีกระโปรงเก็บของ มีที่นั่งสำหรับผู้โดยสาร 4 ที่นั่งหรือมากกว่า หลังคารถเป็นส่วนหนึ่งของตัวรถ ไม่สามารถถอดออกหรือเปิดประทุนได้ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบ 4 ประตูหรือ 2 ประตูก็จะเรียกว่ารถยนต์ประเภท Sedan ทั้งหมด แต่ในระยะหลังมักเรียกรถ Sedan 2 ประตูว่า Coupe (คูเป้) ในประเทศไทยมีรถยนต์ซีดานมากมาย เพราะรถซีดานถือเป็นประเภทรถยนต์ยอดนิยมที่เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมือง และนอกเมือง เหมาะสำหรับการขับขี่ของครอบครัวขนาดเล็กตามลักษณะส่วนใหญ่ของผู้ใช้รถกลุ่มใหญ่ของคนไทย แล้วรถยนต์รุ่นไหนบ้างล่ะที่ถือเป็น 5 รุ่นเด่นของกลุ่มรถยนต์ซีดานในตลาดรถประเทศไทย Chobrod เลยจะมาแนะนำทั้งในกลุ่ม D-Segment และกลุ่ม Mid-Size Luxury Car
ตัวอย่างรถยนต์ซีดาน เช่น Honda Civic, Honda Accord, Toyota Camry และ Toyota Yaris Ativ เป็นต้น
แต่ถ้าเป็นรถเก๋ง 5 ประตู ก็อย่างเช่น Honda City Hatchback, Mazda 2 Hatchback, Suzuki Swift, และ Toyota Yaris เป็นต้น
ทั้งนี้ รถเก๋งซีดานบางยี่ห้ออาจไม่ได้นิยามโมเดลรถของตัวเองว่าซีดาน (Sedan) แต่ใช้คำว่าซาลูน (Saloon) แทน ซึ่งเดิมมาจากคำว่า “Salon” ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส หมายถึง ห้องขนาดใหญ่ ดังนั้น ขนาดห้องโดยสารของรถ Saloon จึงใหญ่กว่า Sedan และมักจะเน้นอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารตอนหลังมากกว่า
รถ Sedan Toyota Camry
รุ่นแรกที่ถือว่าเป็นรุ่นเด่นในกลุ่ม Sedan ของประเทศไทย คือ Toyota Camry ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นที่ราคุ้นเคยเป็นอย่างดี รวมถึงมีกระแสแรงมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ด้วยการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ให้โดดเด่น สะดุดตา รายละเอียดของ Toyota Camry ถือเป็นโฉมล่าสุดของเจนเนอเรชั่นที่ 8 มาพร้อมกับ Global Model รูปโฉมเดียวที่ใช้ขายแบบเดียวทั่วโลก สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มที่หลายคนน่าจะเริ่มคุ้นชินแล้วกับคำนี้ “Toyota NEW Global Architecture” หรือเรียกสั้น ๆ “TNGA” และรหัสตัวถังที่ใช้เรียกคือ XV70, ACV70 จากการรีวิวToyota Camry 2019 ได้เห็นจุดเด่นคือการปรับโฉมใหม่หมดที่โดดเด่นด้วยเส้นสายดีไซน์สปอร์ต ผสานเข้ากับตัวกระจัง และกันชนที่มากับช่องดักลมขนาดใหญ่ลายขวางเล่นมิติ ทำให้ตัวรถดูน่าสนใจ และทำค่าแรงเสียดทานของหลักพลศาสตร์ที่ดีกว่ารุ่นก่อน ด้านข้างมีเส้นสายหรือมิติมัดกล้ามตัวรถจะไม่มากนัก เน้นความเรียบง่ายแต่ซ่อนไว้ซึ่งลูกเล่นด้านหลังเพื่อไปจรดตรงไฟท้ายที่มาแบบ LED ในขณะที่ภายในมีการดีไซน์ของคอนโซลหน้าถือเป็นอีกการปฎิวัติของการออกแบบที่ฉีกหนีความจำเจแบบเดิมๆ ของรถซีดานขนาด D-Segment ประกอบกับวัสดุที่ใช้ในการตกแต่งที่ผสานครบบริบทแห่งความลงตัวจากลายไม้ เงินเมทัลลิก หรือดำ Piano Black พร้อมกับที่นั่งกว้างขวาง พร้อมอุปกรณ์อำนวยสะดวกแบบจัดเต็ม
ติดตั้งระบบความปลอดภัย ซึ่งประกอบด้วย ระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับคนเดินถนน (Pre-collision System with Pedestrian Detection, ระบบช่วยประคองรถให้อยู่ในเลน Lane Departure Alert with Steering Assist, ระบบไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Full-Speed Range Dynamic Radar Cruise Control รวมถึงระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Monitor พร้อมกับระบบป้องกันการชนขณะถอยหลัง Intelligent Clearance Sonar with Rear Cross-Traffic Braking
รถ Sedan Honda Accord
อีกรุ่นหนึ่งที่คุ้นชินเป็นอย่างดีในตลาดรถประเภทซีดานเมืองไทย คือ Honda Accord โดยเฉพาะ Honda Accord 2019 ที่กำลังจะเปิดจำหน่ายในประเทศไทยเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ Honda Accord 2019 ถือเป็นยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่มาพร้อมกับความสง่างามสมัยใหม่ หรูหราสะกดทุกสายตาตั้งแต่ไฟหน้าและไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED, ไฟท้ายแบบ LEDใหม่ ที่ดูหรูหราสง่างามโฉบเฉี่ยวในทุกมุมมองรอบคัน สำหรับดีไซน์ภายนอกของ Accord เจเนอเรชั่นที่ 10 ถูกออกแบบชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกโฉมไปจากรุ่นก่อนๆ อย่างชัดเจน ด้วยการเน้นภาพลักษณ์ความสปอร์ตมากขึ้น เช่น การออกแบบหลังคาให้เตี้ยลง แต่เพิ่มความกว้างตัวถังเข้าไป ซึ่งเป็นแนวทางการออกแบบเดียวกับ Civic โฉมปัจจุบัน รวมถึงเพิ่มกระจกโอเปร่าบริเวณเสาหลังเป็นครั้งแรก ทำให้ดีไซน์เนอร์สามารถออกแบบหลังคาให้ดูยาวและลาดเทไปทางกระโปรงหลัง ที่เรียกว่า Laser Blaze ช่วยเพิ่มสปอร์ต และความหรูหราไปในตัวอีกด้วย ให้ภาพลักษณ์ที่ดูภูมิฐาน และมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ดีไซน์ด้านหลังโดดเด่นด้วยไฟท้ายแบบ LED ที่ออกแบบให้เป็นรูปทรงตัว C ดูโฉบเฉี่ยวทันสมัย
รีวิว Honda Accord
รีวิว Honda Accord ได้เห็นภายในห้องโดยสารกับการดีไซน์เเบบใหม่ๆ ยังคงความกว้างขวางของห้องโดยสารได้ดีมาก ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย การจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารเน้นความเรียบง่าย ใช้งานสะดวกตามสไตล์ฮอนด้า โดยเวอร์ชั่นที่จะจำหน่ายในบ้านเราถูกติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว Advanced Touch สามารถรองรับ Apple CarPlay และระบบสั่งงานด้วยเสียง SIRI ได้ อีกทั้งยังเพิ่มหน้าจอ Head-up Display สำหรับแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้าเป็นครั้งแรกอีกด้วย ตัวหน้าจอแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ถูกเพิ่มปุ่มช็อตคัตที่ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ 1.5 เทอร์โบที่ทำให้จังหวะออกตัวจากจุดหยุดนิ่งของ Accord 1.5 Turbo เป็นไปอย่างสุขุมนุ่มนวล เมื่อเสริมเทอร์โบบูสต์เข้ามาทำงานอย่างเต็มที่ก็สามารถดึงตัวรถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว กระฉับกระเฉง สำหรับส่วนช่วงล่างของรุ่น 1.5 Turbo ถูกเซ็ตมากค่อนข้างสปอร์ต มีความแข็งให้เห็นชัดเจน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะล้อขนาด 19 นิ้ว ที่หุ้มด้วยยางขนาด 235/40 จึงทำให้แรงสะเทือนเข้ามาในห้องโดยสารค่อนข้างชัดเจน
รถ Sedan Nissan Teana
รุ่นต่อมาถือเป็นคู่แข่งของ 2 รุ่นก่อนหน้า ได้แก่ Nissan Teana 2019 ที่เปิดตัวมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกับ All New Toyota Camry 2019 สำหรับ Nissan Teana 2019 ที่เปิดตัวในไทยเป็นรุ่นปรับโฉมเดิมของรุ่นในอเมริกาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดดเด่นด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “Energetic Flow” หรือ ดีไซน์ที่ทรงพลัง สง่างาม ปราดเปรียว พร้อมลายเส้นที่พลิ้วไหวจากภายนอกสู่ภายในที่กว้างขวางสไตล์สปอร์ต เสริมด้วยดีไซน์ และเส้นสายด้านหน้าใหม่ เริ่มจากบริเวณเสาที่เชื่อมระหว่างตัวถังส่วนหน้าและหลังคารถยนต์ หรือ เสา A (A-pillars) แผงกันชนหน้า รวมถึงไฟหน้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มความโดดเด่นที่เน้นกระจังหน้าแบบ V-Motion และไฟหน้าทรงบูมเมอแรง อันเป็น แนวทางหลักของการออกแบบรถยนต์ของ Nissan
ภายในของ Nissan Teana ให้พื้นที่ห้องโดยสารมาอย่ากว้างขวาง พร้อมเปิดประสบการณ์ให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารสามารถเข้าถึงการตกแต่งภายในที่ทันสมัยและสะดวกสบายอย่างไม่เคยมีมาก่อน ติดตั้งเทคโนโลยีอันล้ำสมัยในเรื่องความปลอดภัยภายใต้รูปลักษณ์ใหม่ เพื่อสร้างความมั่นใจในการขับขี่จากเทคโนโลยีอัจฉริยะ Nissan Intelligent Mobility ประกอบด้วย กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง Intelligent Around View Monitor (IAVM) พร้อม เทคโนโลยีตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน หรือ Moving Object Detection (MOD) เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning (BSW) และเทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW) ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนถนนในเมือง การเข้าจอดรถในพื้นที่จำกัด หรือขับรถระยะทางไกลบนทางหลวง
รถ Sedan BMW 5-Series
ต่อไปคือรถยนต์ในกลุ่ม Mid-Size Luxury Car ได้แก่ BMW 5-Series เป็นรถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดกลาง เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 1972 ต่อจาก BMW New Class ผลิตมาแล้วทั้งหมด 7 โฉม โดยรุ่นปัจจุบันเปิดตัวตั้งแต่ปี 2017 สำหรับ BMW 5-Series ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในรุ่นที่น่าสนใจเลยก็คือ BMW 530e M Sport เป็นรถยนต์สไตล์ Plug-in Hybrid การออกแบบโดยรวมนั้น ถือว่าทำได้ดูโฉบเฉี่ยว เพรียวลมได้อย่างดี แม้ว่าตัวรถจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ก็ตาม กระจังหน้าเป็นทรงไตคู่ที่เป็นเอกลักษณ์ของค่าย ไฟหน้าเป็นแบบ 4 ดวง แต่ใช้เส้นสายภายในโคมไฟที่เป็นไฟ Daytime Running Light แบบ LED ถูกออกแบบมาให้เป็นลายเส้นมีเหลี่ยมมีมุม ไฟหน้าเป็นระบบ LED อัจฉริยะ ปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย (Adaptive LED) มีไฟตัดหมอกวางเอาไว้ตรงตำแหน่งด้านลางเป็นแนวนอน ใช้ไฟ LED ในการส่องสว่าง ตัวรถมีการรองรับลมให้ไหลออกไปข้างหลังอย่างง่ายดาย ประตูทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ถูกปาดให้เอียงไปข้างหลัง รับกับท้ายที่ปรับเอียงลาดไปด้านหลัง ช่วงท้ายของรถติดตั้งไฟด้านหลังเป็นทั้งในส่วนตัวถังรถลากยาวเข้าไปถึงกระโปรงท้าย ปลายท่อไอเสียเป็นแบบคู่ ใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุ เพิ่มความสปอร์ตด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-spoke ที่มาพร้อมกับยางล้อหน้า: 8 J x 19 / ยาง 245/40 R19 ล้อหลัง: 9 J x 19 / ยาง 275/35 R19 ที่ทั้ง 4 เส้นให้เป็นยางแบบ Run-flat ที่สามารถใช้งานได้แม้จะมีลมรั่วออกไปแล้วก็ตาม
เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo
มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 2.0 ลิตร ให้กำลังจากเครื่องยนต์ 184 แรงม้า แรงบิด 290 นิวตันเมตร เสริมด้วยพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผลิตกำลังได้ 113 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร ให้กำลังสูงสุด 252 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic พร้อม Gearshift Paddles สำหรับ BMW 530e M Sport มาในราคาค่าตัวเริ่มต้น 3,899,000 บาท ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ใหญ่โตโอ่โถง ใช้วัสดุเบาะหนังแท้ Dakota คู่หน้าเป็นเบาะปรับไฟฟ้า ฝั่งคนขับสามารถบันทึกตำแหน่งได้ 2 ตำแหน่ง และเมื่อดับเครื่อง เบาะจะถอยออก เพื่อให้ก้าวเข้าออกตัวรถทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น พวงมาลัยเป็นแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแบบ M Sport ตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Rhombicle พร้อมแถบโครเมียม คอนโซลด้านบนหุ้มด้วยหนัง Sensatec เพดานหลังคาสี Anthracite มีแสงสีเพิ่มบรรยากาศภายในห้องโดยสาร (Ambient Light) ที่เปลี่ยนสีได้ตามใจต้องการ หน้าจอระบบสัมผัสตั้งเอาไว้อยู่กลางคอนโซล สามารถสั่งการได้ด้วยการสัมผัส, การสั่งผ่านระบบ iDrive ด้วยปุ่มกลางระหว่างคนขับและคนนั่ง และสามารถสั่งการได้ด้วยระบบ BMW Gesture Control ที่เพียงโบกมือก็สั่งการได้ให้ชุดแครื่องเสียง Harman-Kardon มา เชื่อมต่อกับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนได้ทั้งผ่านทางสาย USB และ Bluetooth เพิ่มความพิเศษด้วยแท่นชาร์จไร้สาย ใช้ชาร์จได้ทั้งโทรศัพท์มือถือที่รองรับ และตัวกุญแจรถ ที่สามารถชาร์จไร้สายได้ด้วยเช่นกัน
รถ Sedan Volvo S90
รุ่นสุดท้ายคือ Volvo S90 เป็นซีดานพรีเมี่ยมระดับเรือธง ที่สานต่อความสำเร็จจาก Volvo S80 ออกแบบโดยเน้น Design Around You ถอดแบบได้คล้ายคลึงมากเป็นเพราะสองรุ่นดังกล่าวได้ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันนั่นคือ SPA หรือ Scalable Product Architecture ที่ไม่เพียงแต่เพิ่มพื้นที่ภายในให้กว้างขวางแล้ว ยังให้พลังแรงกว่าเดิมจากการลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถเสริมคล่องตัว และขับขี่ง่ายขึ้นอีกด้วย ภายนอกตัวรถมีการจบงานที่สวยงามควบคู่กับนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆ หล่อมากขึ้นด้วยไฟหน้า LED ที่จำลองแบบค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์ หรือ Thor Hammer อันเป็นเอกลักษณ์เด่นและในโคมเดียวกันยังซ่อนไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED Daytime ไว้ด้วย โดยไฟหน้า LED ปรับความสว่างอัตโนมัติช่วงเข้าโค้ง ในเวลากลางคืน สอดรับกับกระจังหน้าแบบ โค้งเว้าพร้อมตราโลโก้ใหม่ Volvo ขนาดใหญ่แบบ Iron mark ดูสมสง่ามากขึ้น แถมยังมีไฟตัดหมอกหน้า ผสานความลงตัวด้วยเส้นสายด้านข้าง พร้อมกระจกแบบโอเปร่า เส้นหลังคาทอดไปอย่างสง่างามเพื่อเน้นรูปทรงของตัวรถ ด้วยโครงร่างด้านหน้าที่ยาว พร้อมชุดแต่งโครเมียมแพ็คเกจ ไม่ว่าจะเป็นกรอบหน้าต่าง คิ้วชายล่างประตู เสริมสวยให้หรูหรายิ่งขึ้นเติมเต็มความหล่อด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลาม และหลังคารถซันรูฟเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าที่ทำได้แค่เปิดสไลด์เท่านั้น ไม่สามารถกระดกขึ้นได้ มาพร้อมกับล้ออัลลอย Diamond Cut สีเงิน Silver ขนาดใหญ่ 8.5 X 19 นิ้ว 10 ก้าน พร้อมยางแก้มเตี้ย Conti Sport Contact ขนาด 255/40 R19 จากค่าย Continental ใหม่หมดตามสมัยด้วยด้านท้ายที่สั้นกระชับติดตั้งไฟท้ายรูปทรงตัว C แบบ LED สร้างตัวตนเด่นให้น่ามองมากขึ้น พร้อมตัวอักษร Volvo สีเงินเด่นประทับไว้อยู่บนฝากระโปรงท้าย
โหมดพิเศษสามารถปรับตั้งโปรแกรมเครื่องยนต์
รถ Sedan มาพร้อมขุมพลัง Drive-E Powertrain Technology เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบชาร์จคู่ D4 ขนาด 2.0 ลิตรภายใต้รหัส D4204T14 พร้อมระบบหัวฉีดอัจฉริยะหรือ i-ART ที่จ่ายน้ำมันเป็นฝอยละเอียดด้วยหัวฉีดที่มีแรงดันสูงถึง 2,500 บาร์ ทำกำลังได้สูงสุด 190 แรงม้าที่ 4,250 รอบต่อนาทีกับแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตรที่ 1,750 ถึง 2,500 รอบต่อนาที ให้ค่าอัตราการปล่อยก๊าซ CO2 เพียง 133 กรัม/กม. และเป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า FWD ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Geartronic พร้อมโหมดการขับขี่เลือกได้ 4 โหมด ตั้งแต่ Comfort mode : โหมดขับขี่เน้นความนุ่มนวลต่อการนั่งโดยสารและประหยัดน้ำมัน, Eco mode :โหมดเน้นประหยัดน้ำมันโดยเฉพาะ, Dynamic mode : โหมดที่ขับสนุก, Individual mode: โหมดพิเศษสามารถปรับตั้งโปรแกรมเครื่องยนต์ เกียร์ และอื่นๆตามผู้ขับ สำหรับ Volvo S90 มาพร้อมกับราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 3,990,000 บาท
ภายในห้องโดยสารมีการตกแต่งที่แตกต่าง
ภายในห้อง รถ Sedan โดยสารมีการตกแต่งที่แตกต่างกันไปตามสีตัวถังรถด้านนอก โดยจะเน้นการใช้สีดำเข้มชาโคล (Charcoal) หรือสีทูโทนดำชาโคล/เบจ การออกแบบให้ความสำคัญกับผู้ใช้เป็นหลัก (Human-Centric Vision) เบาะนั่งคู่หน้าหุ้มหนังแท้ทั้งตัวแบบ Nappa เดินด้ายสีขาวอ่อนแบบประณีต สร้างความสบาย นุ่ม ไม่เมื่อยล้าตลอดการขับขี่ตั้งแต่พนักพิงศรีษะ(เพรียวบางแต่ตายตัวปรับสูง-ต่ำไม่ได้) ตัวหนุนหลังเบาะหรือ lumbar support และปีกสองข้าง ปรับด้วยระบบไฟฟ้าทั้งสองฝั่งเพิ่มความสบายอีกระดับด้วยด้วยระบบตั้งความจำการปรับเบาะที่ให้มาทั้งสองฝั่งเช่นกัน เบาะหลังหุ้มหนังแท้ทั้งตัวแบบ Nappa เดินด้ายสีขาวอ่อนดีไซน์คล้ายคลึงกับเบาะคู่หน้า ตรงกลางมีพนักพิงแขนและที่วางแก้วมาให้ ส่วนพื้นที่วางขา หรือ Legroom มีพื้นที่กว้างพอให้เหยียดขาได้อย่างเต็มที่ สามารถพับเบาะแบบ 40/60 ได้จากสวิตช์พับลงแบบกดปุ่มหลังตัวเบาะหลังได้อย่างสะดวกสบาย